23 ธันวาคม 2552

เน็ตบุ๊ก Pine Trail ทุกเจ้าพร้อมลุยตลาด

รายงานข่าวล่าสุด หลังจากอินเทล (Intel) ได้ประกาศเปิดตัวโพรเซสเซอร์รุ่น Intel Atom N450 เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการรวมส่วนควบคุมหน่วยความจำ และกราฟิกเข้าไปในโพรเซสเซอร์ทำให้เน็ตบุ๊กทีใช้ชิปสายพันธุ์ใหม่ มีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น แถมยังสามารถดีไซน์ให้เน็ตบุ๊กมีความบางลงกว่าเดิม และมีอายุแบตเตอรี่ได้นานขึ้นอีกด้วย

บรรดาผู้ผลิตเน็ตบุ๊กแทบทุกเจ้าขานรับโพรเซสเซอร์ใหม่นี้ทันทีด้วยการ เปิดตัวเน็ตบุ๊กรุ่นใหม่พร้อม ๆ กัน และเชื่อว่า จะมีเน็ตบุ๊ก Pine Trail เปิดตัวในงาน CES 2010 ที่จะจัดให้มีขึ้นช่วงต้นเดือนมกราคมปีหน้าตามมาอีกมากมาย อย่างไรก็ตาม เรามาดูกันดีกว่า เพียงแค่ 2 วันจะมีเน็ตบุ๊กของเจ้าใดบ้างที่ได้มีรายงานกันออกมาแล้ว

Acer Aspire One 532h: เน็ตบุ๊กที่มาพร้อมกับหน้าจอ WSVGA LED 10.1 นิ้ว สนับสนุนความละเอียด 1280x720 พิกเซล โพรเซสเซอร์ Intel Atom N450 1.66GHz (เทคโนโลยีการผลิต 45nm รวมส่วนควบคุมหน่วยความจำ และชิปกราฟิก Intel GMA950 ไว้ภายใน) ทำงานร่วมกับหน่วยความจำ DDR2 1GB สามารถเล่นวิดีโอไฮเดฟฯได้ และใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 7 Starter

Dell Inspiron Mini 10: เดลล์ยังคงใช้ชื่อโมเดลของเน็ตบุ๊กเหมือนเดิม แต่ใช้ชิป Pine Trail N450 1.66GHz หน่วยความจำ 1GB ฮาร์ดดิสก์ 250GB หน้าจอ LCD 10.1 นิ้ว (1024 x 600) สามารถอัพเกรดเป็น 1366 x 768 พิกเซลได้ รวมถึงการเพิมเติม TV Tuner และ GPS ทั้งนี้ผู้ใช้จะได้เน็ตบุ๊กที่ใช้งานได้นานขึ้น (9.5 ชั่วโมง) สนนราคาเริ่มต้นที่ 299 เหรียญฯ (ประมาณ 11,000 บาท)

Asus Eee PC 1005PE: อะซุสถือเป็นเจ้าแรกที่ออกเน็ตบุ๊กที่ใช้ซีพียูตัวใหม่อย่าง Intel Atom N450 1.66GHz หน่วยความจำ 1GB จอแอลซีดี 10 นิ้ว ฮาร์ดดิสก์ 250GB ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows 7 Starter ซึ่งได้มีการส่งให้ทดสอบก่อนหน้านี้กันแล้วด้วย โดยผลลัพธ์ส่วนใหญ่จะรายงานตรงกันว่า มันใช้งานได้นานขึ้นถึง 12 ชั่วโมง สนนราคาอยู่ที่ 340 เหรียญฯ (ประมาณ 12,000 บาท)

Fujitsu LifeBook MH380: เป็นเน็ตบุ๊กอีกรุ่นหนึ่งที่ออกมาต้อนรับซีพียูตัวใหม่ โดยจะมาพร้อมกับซีพียู Intel Atom N450 1.66GHz คุณสมบัติในการแสดงผลระดับไฮเดฟฯ 1366 x 768 บนหน้าจอขนาด 10.1 นิ้ว ฮาร์ดดิสก์ 250GB หน่วยความจำ 1GB น้ำหนัก 2.97 ปอนด์ (1.35 กิโลกรัม) ใช้งานได้นานต่อเนื่อง 7 ชั่วโมง สนับสนุน Wi-Fi b/g/n และบลูทูธ ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows 7 Starter สนนราคาอยู่ที่ 449 เหรียญ (ประมาณ 15,000 บาท)

MSI Wind U130, U135, U140, U160: แม้จะออกมาให้เลือกถึง 4 รุ่นด้วยกันแต่สเป็กจะไม่แตกต่างกันมากนัก โดยทาง MSI เปิดเผยว่า เน็ตบุ๊กที่ใช้ Intel Atom N450 จะเร็วขึ้นกว่าเดิมประมาณ 10% ซึ่งสำหรับรุ่นต่างๆ ที่ออกมาจะมาพร้อมกับหน่วยความจำ 2GB และมีฮาร์ดดิสก์ให้เลือก 2 ขนาดคือ 160GB กับ 250GB ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows 7 Starter อย่างไรก็ตาม บางรุ่นยังมีการเปิดเผยอีกด้วยว่า มันสามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานถึง 10 ชัี่วโมงเลยทีเดียว สนนราคาเริ่มตั้นที่ 350 เหรียญฯ (ประมาณ 13,000 บาท)

HP Mini 210: เน็ต บุ๊กที่ไดรับการออกแบบให้ที่ดูสวยงานยิ่งขึ้่น โดยในส่วนของสเป็กนอกจากจะใช้ Intel Pine Trail Atom N450 แล้ว ก็จะมีหน่วยความจำ 1GB ฮาร์ดดิสก์ 160Gb และทำงานด้วยระบบ Windows 7 สนนราคาเริ่มต้นที่ 320 เหรียญฯ (ประมาณ 12,000 บาท)

Intel Classmate PC: เหมาะสำหรับนักเรียน ส่วนดีไซน์ของเครื่องยังคงเหมือนรุ่นก่อนหน้านี้ ส่วนข้อแตกต่างที่เห็นเด่นชัดก็คือ สามารถใช้งานได้นานกว่าเดิม

Toshiba NB305: โต ชิบ้าก็เป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์อีกกรายทีเตรียมออกเน็ตบุ๊กทีใช้ซีพียู Intel Atom N450 1.66GHz แต่จะเพิ่มคุณสมบัติการเชื่อมต่อไร้สาย 3G เข้าไปด้วย โดยจะเปิดตัวอย่างทางการในวันที่ 4 มกราคมปีหน้า และไปปรากฎตัวในงาน CES 2010 อย่างแน่นอน

ประเมิน โดยคร่าวๆ หลังจากประกาศออกไปแค่สองวัน ถึงตอนนี้มีผู้ผลิตได้รายงานการผลิตเน็ตบุ๊กที่ใช้ซีพียูรุ่นใหม่แล้วร่วม 20 รุ่น อย่างไรก็ดี ทางอินเทลเปิดเผยว่า จะมีเน็ตบุ๊กที่ใช้ Pine-Trail ในช่วงต้นปีหน้าประมาณ 80 รุ่นเลยทีเดียว ซึ่งนอกจากจะมีเน็ตบุ๊กแล้วยังมีเน็ตทอป (nettop) ที่ใช้โพรเซสเซอร์ intel pine trail N450 อีกหลายรุ่นที่จะออกมาอีกด้วย



ข่าวจาก www.arip.co.th วันที่ 23 ธันวาคม 2552

13 ธันวาคม 2552

ช็อค!!! Win 7 ปลอดภัยน้อยกว่า Vista

แม้ฝ่ายการตลาดของไมโครซอฟท์จะพยายามปกปิดอย่างไร แต่ดูเหมือนเหล่าบรรดานักพัฒนายังคงต้องการเปิดเผยข้อเท็จจริงทีว่า Windows 7 เป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจาก Windows Vista อยู่ดี อย่างไรก็ตาม เรื่องมันไม่ได้จบแค่นั้น...

ระบบปฏิบัติการ Windows 7 ได้รับการแก้ไข และปรับปรุงการทำงานหลายๆ อย่างที่ผู้ใช้ไม่ชอบใน Windows Vista แต่ Raimund Genes ประธานฝ่ายเทคโนโลยีของบริษัทระบบรักษาความปลอดถัย Trend Micro กล่าวว่า เขาพบความลับบางอย่างที่ทำให้รู้สึกชอบระบบปฏิบัติการรุ่นก่อนหน้านี้ ซึงก็คือ Windows Vista นั่นเอง แล้วทำไมเขาถึงได้แสดงทรรศนะออกมาอย่างนั้น?

Genes กล่าวว่า ไมโครซอฟท์ได้ตัดสินใจออกแบบโดยลดการทำงานของระบบความปลอดภัยบางอย่างลง เพื่อแลกกับความสะดวกในการใช้งานที่เพิ่มขึ้นของผู้ใช้ โดยเฉพาะส่วนการทำงานของระบบควบคุมบัญชีผู้ใช้ (User Account Control, UAC) "ผมไม่ได้จะบอกว่า Windows 7 ไม่ปลอดภัย แต่เทียบโอเอสที่แกะออกจากกล่องพร้อมกันแล้ว Vista ดีกว่า" Genes กล่าว "ผมรู้สึกผิดหวังตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ใช้เครื่องที่รัน Windows 7 เนื่องจากมันไม่มีการเตือนว่า ผมไม่มีแอนตี้ไวรัส ซึ่งไม่เหมือนกับ Vista นอกจากนี้มันยังไม่มีการเตือนการซ่อนนามสกุลไฟล์ให้ผู้ใช้ทราบอีกด้วย (เช่น image.jpg.exe ที่จะมองเห็นแค่ .jpg เท่านั้น) แม้กระทั่งเมื่อคุณได้ติดตั้งแอนตี้ไวรัสเข้าไปแล้ว การเตือนว่า มันยังไม่ได้อัพเดตก็แทบจะมองไม่เห็นอีกด้วย"

"Windows 7 อาจจะได้รับการพัฒนาในด้านการใช้งาน แต่ในด้านระบบรักษาความปลอดภัย มันผิดพลาดมากทีเดียวที่ตัดสินใจอย่างนี้ ซึ่งไม่แปลกที่ณ.เวลานี้ นักพัฒนาของไมโครซอฟท์ย่อมเลือกเอาเรื่องของการใช้งาน (usability) เป็นหลักอยู่แล้ว" Genes กล่าวทิ้งท้าย


ข่าวจาก www.arip.co.th วันที่ 12 ธันวาคม 2552

23 พฤศจิกายน 2552

หนอนไวรัสกลายพันธุ์ติดไฟล์ได้สารพัด

รายงานข่าวล่าสุด National Computer Virus Emergency Response Center ของจีนระบุว่า หนอนไวรัส Worm_Piloyd.B ที่มีการกลายพันธุ์ได้ออกอาละวาดอีกครั้ง โดยการกลับมาของหนอนร้ายตัวนี้พบว่า มันสามารถแพร่กระจายไปกับไฟล์ได้หลากหลายชนิดกว่าเดิม แถมยังดื้อด้านต่อการกำจัดออกไปอีกด้วย

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า เมื่อคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ติดหนอนไวรัสตัวนี้เข้าไปแล้ว มันจะสามารถแพร่กระจายตัวเองไปกับไฟล์ชนิดต่างๆ ได้หลากหลายชนิด อย่างเช่น ไฟล์ที่สั่งรันได้ (.exe) ไฟล์เอกสารเว็บ (.html) ตลอดจนไฟล์สคริปท์ (.asp) และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากจะแพร่กระจายได้หลายช่องทางแล้ว มันยังสามารถป้องกันตัวเองไม่ให้ระบบสามารถเข้าไปแก้ไขไฟล์ที่โดนเล่นงานได้ อีกด้วย โดยสามารถยับยั้งการทำงานของแอนตี้ไวรัสที่อยู่ในระบบได้

Worm-Piloyd.B มีวัตถุประสงค์ที่จะป่วนเครื่องของผู้ที่โดนเล่นงานอย่างหนัก โดยไม่เพียงแต่จะทำให้เครื่องเต็มไปด้วยไฟล์ที่ติดมันเข้าไปเท่านั้น แต่ยังบังคับให้ระบบเชือมต่อเน็ตเข้าไปยังเว็บไซต์ที่เต็มไปด้วยโทรจัน ไวรัส และมัลแวร์ต่างๆ เพื่อดาวน์โหลดเข้ามาติดตั้งในเครื่องของเหยื่ออีกด้วย ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์อัพเดตแอนตี้ไวรัสเป็นการด่วน และควรเปิดระบบการสอดส่องภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ เพื่อป้องกันการเข้าโจมตีของหนอนไวรัสตัวนี้เป็นการด่วน


ข่าวจาก www.arip.co.th วันที่ 23 พฤศจิกายน 2552

10 พฤศจิกายน 2552

แฟลชไดรฟ์+ชาร์จเจอร์พลังแสงอาทิตย์

รายงานข่าวเช้านี้ขอเริ่มต้นด้วยแก็ดเจ็ต (gadget) จากแดนโสม ซึ่งหากสังเกตจากภายนอกก็คงจะเดาได้ไม่ยาก เนื่องจากแพคเกจของมันฟ้องว่าเป็น แฟลชไดรฟ์ แต่ถ้าดูในรายละเอียดก็จะเห็นว่า มันมาพร้อมเซลล์แสงอาทิตย์ (solar cell) ด้วย ความจริงก็คือ มันไม่ได้เป็นแค่แฟลชไดรฟ์ที่ใช้เก็บข้อมูลเท่านั้น แต่ยังเป็นชาร์จเจอร์พลังแสงอาทิตย์อีกด้วยนั่นเอง

ภายใต้ดีไซน์ขนาดเล็ก แต่ประสิทธิภาพของมันเหลือเชื่อจริงๆ Sun Drive เป็นแฟลชไดรฟ์จากบริษัท Zyrus ที่มีความจุให้เลือกถึง 4 ขนาดด้วยกันคือ 2,4, 8 และ 16GB นอกจากนี้มันยังมาพร้อมกับแบตเตอรี่ในตัวอีกด้วย โดยสามารถชาร์จแบตฯสำรองที่อยู่ภายในผ่านทางพอร์ตยูเอสบีของคอมพิวเตอร์ หรือแสงอาทิตย์ (ประมาณ 10 - 15 ชั่วโมง) ก็ได้

ดังน้้น นอกจากจะทำหน้าที่เป็นแฟลชไดรฟ์แล้ว มันยังทำหน้าที่เป็นแบตเตอรี่สำรอง หรือชาร์จเจอร์ได้อีกต่างหาก โดย Sun Drive จะสามารถให้พลังงานกับอุปกรณ์พกพาต่างๆ อย่างพวกเครื่องเล่น MP3 กล้องดิจิตอล หรือ PMP ได้นานสูงสุดถึง 35 ชั่วโมง หรือใช้ชาร์จมือถือ เพื่อให้มีเวลาพอสำหรับการสนทนาได้นานถึง 100 นาที คุณสามารถพกพา Sun Drive ติดตัวไปได้ทุกที่ด้วยขนาดที่เล็กกะทัดรัด และดีไซน์ที่เรียบง่าย โดยสามารถใช้เป็นพวงกุญแจ ติดไปกับสายคล้องมือถือ หรือสายคล้องคอก็ได้ สนนราคาอยู่ที่ 29,000 วอน หรือประมาณ 840 บาทครับ





ข่าวจาก www.arip.co.th วันที่ 10 พฤศจิกายน 2552

04 พฤศจิกายน 2552

หนอนไวรัสจ้องโจมตีผู้เล่นเกมส์ออนไลน์

ไมโครซอฟท์ (Microsoft) เตือนผู้เล่นเกมส์ออนไลน์กำลังตกเป็นเป้าหมายของหนอนไวรัสคอมพิวเตอร์ที่ จ้องโจมตี เพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัว โดยล่าสุด หนอน Taterf ได้แพร่กระจายติดไปยังผู้ใช้มากกว่า 4.9 ล้านรายภายในระยะเวลา 6 เดือน หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 156% เทียบกับหกเดือนก่อนหน้านั้น

ในขณะที่หนอนกำลังเป็นภัยคุกคามร้ายแรงที่มีอัตราการเติบโตเกือบสองเท่า ภัยคุกคามอื่นๆ อย่างเช่น โทรจัน และแอดแวร์ กลับมีแนวโน้มของการโจมตีลดลง Microsoft Security Intelligence Report กล่าวว่า โดยสถิติในช่วงหกเดือนแรกของปี 2009 โดยเฉลี่ยพบว่า ในทุกๆ หนึ่งชั่วโมงจะมีคอมพิวเตอร์ในอังกฤษที่ติดหนอนไวรัส 7 เครื่องด้วยกัน ซึ่งเจ้าหนอนร้าย Taterf มีเป้าหมายของการโจมตีอยู่ที่ เกมส์ออนไลน์ที่เล่นพร้อมกันหลายคน หรือ MMORPGs (Massively Multiplayer Online Role-Playing Games)

สำหรับ เกมส์ออนไลน์หลักๆ ที่ตกเป็นเป้าโจมตีได้แก่ World of Warcraft, Rainbow Island, Lineage, Gamania และ Cabal Online โดยนอกจากหนอนพวกนี้จะกำลังขโมยข้อมูลส่วนตัวจากเครื่องของผู้เล่นเกมส์ แล้ว มันยังสามารถแพร่กระจายตัวเองผ่านทางแฟลชไดรฟ์ที่เสียบทางช่อง USB เพื่อโจมตีคอมพิวเตอร์ที่อยู่บนเครือข่ายทั้งทีทำงาน และที่บ้านได้อีกด้วย

Vinny Gulluto ผู้บริหารระบบรักษาความปลอดภัยจากไมโครซอฟท์กล่าวว่า "มันมีวิธีต่างๆ มากมายที่เกมเมอร์ และผู้ใช้เว็บสามารถปกป้องคอมพิวเตอร์ของพวกเขาได้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ของหนอนไวรัสเกิดขึ้นตลอดเวลา ผู้ใช้ต้องแน่ใจว่า แอพพลิเคชัน(ป้องกันไวรัส หรือแอพพลิเคชันมีช่องโหว่)ได้รับการได้อัพเดตตลอดเวลา รวมถึงการมีไฟร์วอลด้วย" ยิ่งอินเทอร์เน็ตมีความเร็วสูงมากเท่าใด โอกาสที่ผู้ใช้จะติดไวรัสจะสูงขึ้นไปตามนั้นด้วย

นอกเหนือจากหนอน Taterf แล้ว Conficker ที่มีเป้าหมายโจมตีเซิร์ฟเวอร์ของธุรกิจด้วยเทคนิค DDOS ด้วยสร้างเครือข่าย Bot หรือคอมพิวเตอร์ซอมบี้ ก็เป็นภัยคุกคามอีกตัวหนึ่งที่ยังคงแพร่กระจายต่อเนื่องตราบจนทุกวันนี้ ล่าสุดมันได้แพร่กระจายไปยังคอมพิวเตอร์ทั่วโลกแล้วกว่า 5.2 ล้านเครื่อง (บางรายงานระบุว่า 7 ล้านเครื่อง) ซึ่งมากพอที่จะใช้เป็นอาวุธในการถล่มเซิร์ฟเวอร์ขององค์กรธุรกิจได้อย่าง ง่ายดาย


ข่าวจาก www.arip.co.th วันที่ 3 พฤศจิกายน 2552

24 ตุลาคม 2552

Windows 7 กับคุณสมบัติเด็ดที่น่าใช้

รายงานข่าวล่าสุด เมื่อวานนี้เป็นวันเปิดตัว "วินโดวส์ 7" (Windows 7) ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากผู้ใช้ทั่วโลกมากพอสมควร ด้วยเหตุผลสำคัญก็คือ มันใช้งานง่ายกว่าเดิม ทำงานได้เร็วขึ้น อีกทั้งคุณสมบัติการทำงานใหม่ๆ ของโอเอสรุ่นนี้ตอบรับความต้องการของผู้บริโภคที่ดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย (เมื่อเทียบกับ Vista) เพื่อเป็นการต้อนรับระบบปฏิบัติการ Windows 7 เรามาทำความรู้จักกับคุณสมบัติที่ทำให้หลายๆ คนชื่นชอบ Windows 7 กันดีกว่า

ประการที่ 1: ไร้กังวลเรื่องไดรเวอร์ไม่ครบ หลังจากติดตั้ง Windows 7 ผู้ใช้จะพบว่า พวกเขาไม่ต้องติดตั้งไดรเวอร์ของฮาร์ดแวร์เพิ่มแต่อย่างใด เนื่องจากไดรเวอร์แทบทุกตัวได้ถูกรวมไว้ในระบบปฏิบัติการแล้ว และในกรณีที่คุณจำเป็นต้องอัพเดตไดรเวอร์ ผู้ใช้ก็จะสามารถทำได้ทันทีโดยไม่สับสนกับ Windows Update อีกต่อไป ผู้ใช้ Windows 7 ส่วนใหญ่รู้สึกแฮปปี้ที่ไม่ค่อยได้เห็นไอคอนประหลาดๆ คอยแจ้งว่า ฮาร์ดแวร์ขัดแย้งการทำงานกับไดรเวอร์ในหน้าต่าง Device Manager

ประการที่ 2: บันทึกปัญหาที่เกิดขึ้นส่งให้เซียนช่วยวินิจฉัยได้ คุณสมบัติข้อนี้น่าสนใจมาก เพราะมันสามารถช่วยคุณบันทึกปัญหาที่พบใน Windows 7 ได้ ซึ่งหากแก้ไขด้วยตัวเองไม่เป็น ผู้ใช้ก็สามารถส่งไฟล์บันทึกปัญหาที่เกิดขึ้นไปให้ใครที่มีประสบการณ์ มากกว่าช่วยแก้ให้ได้อีกด้วย โดยสิ่งที่ผู้ใช้ต้องทำคือ เปิดโปรแกรม Problem Steps Recorder แล้วคลิกปุ่ม Record หลังจากนั้นหน้าจอจะถูกเก็บ(capture)ทุกๆ ครั้งที่คลิกเมาส์ ซึ่งผู้ใช้สามารถแทรกคอมเมนต์ปัญหาที่พบเข้าไปได้ด้วย โดยรูปแบบของเอกสารที่สร้างขึนจะเป็นไฟล์ HTML พร้อมภาพหน้าจอขั้นตอนที่เกิดปัญหาและคอมเมนต์ที่คุณพิมพ์เข้าไป ไฟล์ทั้งหมดจะถูกบีบอัดเป็นไฟล์ ZIP ไว้บนเดส์ทอป เพื่อแนบส่งไปกับอีเมล์ให้ผู้เชี่ยวชาญได้ทันที

ประการที่ 3: ปักหมุดโปรแกรมใช้บ่อยได้ทั้งในเมนู Start และ Taskbar ในขณะที่ไม่มี Quick Launch Bar ที่ให้ความสะดวกสบายกับผู้ใช้ใน Windows XP ผู้ใช้ Windows 7 สามารถ "Pin" รายการ และโปรแกรมที่ใช้บ่อยไว้บนเมนู Start ได้เช่นเดียวกับบน Taskbar ซึ่งวิธีการก็ง่ายมาก เพียงแค่คลิกขวารายการบน Taskbar แล้วเลือกคำสั่ง "Pin to Start Menu" หรือ "Pin to Taskbar" เท่านี้รายการ หรือโปรแกรมนั้นๆ ก็จะปรากฎ เพื่อรอพร้อมเรียกใช้งานได้ทันที

ประการที่ 4: ระบบสัมผัสหน้าจอที่ใช้ง่าย คำว่า "Touch" เป็นคุณสมบัติใหม่ของส่วนติดต่อผู้ใช้ (User Interface) ในระบบปฏิบัติการ Windows 7 ซึ่งโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ๆ ที่สนับสนุนโอเอสตัวนี้หลายรุ่นทีเดียวจะมาพร้อมกับหน้าจอระบบสัมผัส ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานโอเอส และแอพพลิเคชันต่างๆ ได้ด้วยการใช้นิ้วสัมผัสโดยตรงแทนการใช้เมาส์ และด้วยไอคอนบนทาสก์บาร์ทีมีขนาดใหญ่ขึ้นทำให้สัมผัสด้วยนิ้วของผู้ใช้ได้ ง่ายขึ้นนอีกด้วย ซึ่งประสบการณ์ในการใช้งานคอมพิวเตอร์ด้วยระบบสัมผัสจะทำให้ผู้ใช้ได้รับ ความสนุกสนาน และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

ประการที่ 5: เขียนแผ่นง่ายภายในคลิกเดียว ผู้ใช้สามารถดับเบิ้ลคลิ้กไฟล์ ISO image เพื่อเรียกโปรแกรม Windows Disc Image Burner แล้วเลือกไดร์ฟที่ต้องการให้เขี่ยนแผ่น (ในกรณีที่พีซีของคุณมี burner หลายตัว) และเพื่อเพิ่มความมั่นใจว่า การเขียนแผ่นสมบูรณ์ก็เพียงแค่เช็คบ๊อกซ์หน้าข้อความ "verify disc after burning"

ประการที่ 6: การแสดงพรีวิวหน้าต่างแอพฯที่โดดเด่น ในวิสต้าคุณสามารถพรีวิวหน้าต่างของแอพพลิเคชันต่างๆ บนทาสก์บาร์ได้ด้วยการเลื่อนเคอร์เซอร์เมาส์ไปบนนั้น แต่ใน Windows 7 ไม่เพียงแต่แสดงพรีวิวหน้าต่างเล็กๆ ให้ดูได้เท่านั้น แต่คุณยังสามารถดูหน้าต่างเต็มๆ บนโฟร์กราวด์ได้อย่างง่ายดายด้วยการเลื่อนเคอร์เซอร์เมาส์ไปบนพรีวิวขนาด เล็ก แถมยังสามารถปิดโปรแกรมผ่านหน้าต่างพรีวิวด้วยการคลิกบนเครื่องหมาย x ที่อยู่มุมบนขวาได้อีกด้วย นอกจากนี้ ผู้ใช้สามารถเลื่อนดูพรีวิวของโปรแกรมแต่ละตัวบนทาสก์บาร์ได้ด้วยการกดปุ่ม Win+T ได้อีกต่างหาก เจ๋งดีไหมละครับ

ประการที่ 7: Virtual Windows XP สำหรับผู้ใช้ที่ยังคงคิดถึง XP (แต่อยากลืม Vista) ก็สามารถเรียกใช้ XP Mode บน Windows 7 ได้ โดยหลังจากที่ดาวน์โหลดมาติดตั้งเข้าไปแล้ว ผู้ใช้จะสามารถเรียกใช้แอพพลิเคชัน Windows XP จากภายในเวอร์ชวลแมชีนได้ทันที โดยคุณไม่ต้องออกไปเปิด shell ใหม่จาก Windows XP โดยเฉพาะ

ทั้ง หมดเป็นแค่คุณสมบัติการทำงานบางส่วนที่ผู้ใช้ที่มีโอกาสสัมผัส Windows 7 ก่อนหน้านี้ชื่นชอบ แล้วคุณผู้อ่านล่ะครับ รู้สึก และคิดเห็นอย่างไรบ้างกับระบบปฏิบติการตัวนี้


www.buzzidea.tv

ข่าวจาก www.arip.co.th วันที่ 23 ตุลาคม 2552

22 ตุลาคม 2552

ไมโครซอฟท์ พร้อมเปิดตัว วินโดวส์ 7 แล้ว

Pic_41380

ยุติ การรอคอยเมื่อระบบปฏิบัติการตัวใหม่ล่าสุดของไมโครซอฟท์ เตรียมถูกนำออกวางจำหน่ายทั่วโลกในวันนี้ (22 ต.ค.) เมื่อไทยขายจริง 31 ต.ค.52...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า วันนี้ (22 ต.ค.) บริษัทไมโครซอฟท์ คอร์ปอปอเรชั่น ประกาศถึงการเปิดตัวระบบปฏิบัติการล่าสุด วินโดวส์ 7 (เซเว่น) โดยหวังว่า ระบบปฏิบัติการไมโครซอฟท์ วินโดวส์ 7 จะได้รับเสียงตอบรับจากผู้ใช้ในทางบวกมากกว่าระบบปฏิบัติการตัวก่อนหน้านี้ หรือ วินโดวส์ วิสตา (Windows Vista) ที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ในเรื่องของการใช้งานที่ไม่สะดวกมากนัก โดยผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ต่างตอบรับระบบปฏิบัติการไมโครซอฟท์ วินโดวส์ 7 เป็นอย่างดี

รายงานข่าวแจ้งว่า ผลการตอบรับดังกล่าวเห็นได้จาก มีคำสั่งซื้อออนไลน์ผ่านเว็บไซต์อเมซอน (www.amazon.com) มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ สำหรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ใน ทางบวกที่ออกมา เช่น การใช้งานที่ง่าย ไม่พบอาการระบบรวนมากนัก รวมถึงไม่จำเป็นต้องติดตั้งไดรเวอร์ของอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น กล้องถ่ายรูป ปรินเตอร์ หรืออุปกรณ์ต่อพ่วงอื่น ๆ ทำให้ใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ได้สะดวกรวดเร็ว

รายงาน ข่าวแจ้งด้วยว่า บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เชิญชวนผู้บริโภคในประเทศไทย ร่วมลุ้นเป็น 1 ใน 777 คนแรกที่จะเป็นเจ้าของผลิตภัณฑวินโดวส์ 7 ระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดจากไมโครซอฟท์ ในราคาพิเศษครั้งแรกเพียง 2,777 บาท กับเวอร์ชั่น Home Premium ก่อนเปิดตัวจริงทั่วโลก 22 ต.ค. 2552 และเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยวันที่ 31 ต.ค.นี้ เพียงลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.windows7thailand.com และนำเอกสารยืนยันการลงทะเบียนมาแสดงสิทธิ์ในงานวันเปิดตัววินโดวส์ 7 อย่างเป็นทางการในประเทศไทยในวันที่ 31 ต.ค. 2552 ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ลานแฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 โดยต้องเป็น 1 ใน 777 คนแรกที่นำใบลงทะเบียนมายืนยันสิทธิ์ภายในงานตั้งแต่เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป


ข่าวจาก ไทยรัฐออนไลน์ 22 ตุลาคม 2552

16 ตุลาคม 2552

Wi-Fi Direct เพชฌฆาต Bluetooth

รายงานข่าวล่าสุด รายละเอียดของข้อกำหนดใหม่ของไวไฟ (Wi-Fi) จะเปิดโอกาสให้อุปกรณ์ไวไฟสามารถค้นหา และเชื่อมต่อการทำงานร่วมกันเองได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านเราท์เตอร์ (router) ซึ่งนั่นเท่ากับว่า ข้อกำหนดใหม่จะทำให้เทคโนโลยีไวไฟสามารถเข้ามาทำหน้าทีแทนเทคโนโลยีบลูทูธ (Bluetooth) ได้นั่นเอง

ข้อกำหนดดังกล่าวมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า ไวไฟไดเร็กต์ (Wi-Fi Direct) ซึ่งประกาสเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยทาง Wi-Fi Alliance กลุ่มบริษัทในอุตสาหกรรมที่โปรโมทเทคโนโลยีนี้ ข้อกำหนดของไวไฟไดเร็กต์จะช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ไร้สายโดยตรงทำ ได้ง่ายขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีไวไฟ แน่นอนว่า ข้อกำหนดใหม่นี้ย่อมจะท้าทายเทคโนโลยีไร้สายอย่างบลูทูธทีมีฟังก์ชันลักษณะ การทำงานเดียวกันนี้อยู่แล้ว

วิธีการทำงานของ Wi-Fi Direct ก็คือ มันจะเปิดโอกาสให้อุปกรณ์ไวไฟอย่างเช่น มือถือ กล้องดิจิตอล เครื่องพิมพ์ คอมพิวเตอร์ คีย์บอร์ด และเฮดโฟน สามารถเชื่อมต่อระหว่างกันกับอุปกรณ์ไวไฟอื่นๆ ทีละตัว หรือหลายตัวพร้อมกันได้ ซึ่งในข้อกำหนดยังระบุว่า การเชื่อมต่อไร้สายที่เกิดขึ้นจะสนับสนุนที่ความเร็วของอัตราส่งข้อมูล (data rate) มาตรฐานเดียวกันกับไวไฟ โดยสามารถเชื่อมต่อกันได้ในระยะห่างประมาณ 100 เมตร ด้วยข้อกำหนดดังกล่าวทำให้อุปกรณ์ไวไฟสามารถใช้บรอดแบนด์ไร้สายแทนการเชื่อม ต่อด้วยบลูทูธได้ อีกทั้งยังลดความจำเป็นที่จะต้องใช้เราท์เตอร์ลงอีกด้วย เนื่องจากข้อกำหนดนี้จะเปลี่ยนให้แก็ดเจ็ต (gadget) กลายเป็น"แอคเซสพอยนต์ไวไฟ"ขนาดเล็กนั่นเอง ซึ่งนั่นหมายความว่า เราอาจจะลดความจำเป็นที่ต้องใช้เราท์เตอร์ได้ในบางจุดของการใช้งาน

ไว ไฟไดเร็กต์จะส่งผลกระทบโดยตรงกับเทคโนโลยีบลูทูธที่ใช้กันอย่างแพร่หลายใน อุปกรณ์ต่างๆ เนื่องจากมันทำหน้าที่ได้เหมือนกัน อย่างเช่น การเชื่อมต่อระหว่างหูฟังกับเครื่องเล่นเอ็มพีสาม หรือมือถือ อีกทั้งยังสามารถให้การเชื่อมต่อไร้สายความเร็วสูงระหว่างอุปกรณ์ได้เหมือน กันอีกด้วย แม้การเชื่อมต่อไร้สายแบบ Ad hoc จะมีอยู่แล้วในมาตรฐาน ไวไฟปัจจุบัน แต่ข้อกำหนดของไวไฟไดเร็กต์จะใช้งานได้ง่ายกว่า เนื่องจากอุปกรณ์จะสามารถค้นหาซึ่งกันและกัน เพื่อทำการเชื่อมต่อได้นั่นเอง ทางกลุ่ม Wi-Fi Alliance มีแผนที่จะเผยแพร่ข้อกำหนดสำหรับการเชื่อมต่อไร้สายแบบ peer-to-peer ของไวไฟในเร็วๆ นี้ และคาดว่าจะสามารถให้การรับรองอุปกรณ์ทีใช้เทคโนโลยีนี้ได้ในปี 2010

ข้อมูลจาก: ZDnet


ข่าวจาก www.arip.co.th วันที่ 16 ตุลาคม 2552

16 กันยายน 2552

ระวัง!!! ไวรัสปลอมตัวเป็น"แอนตี้ไวรัส"

รายงานข่าวล่าสุด ผู้พัฒนาไวรัสกำลังนิยมใช้วิธี"ปลอมตัว"ให้ผู้ใช้เข้าใจผิด เพื่อแพร่กระจายตัวมันไปยังคอมพิวเตอร์นับล้านเครื่องทั่วโลก โดยผู้ใช้ส่วนใหญ่ที่ตกเป็นเหยื่อไวรัสมักจะหลงเชื่อว่า มันเป็นซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสตัวจริง

ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวว่า พบสปายแวร์ปลอมตัวเป็นแอนตี้สปายแวร์ชื่อว่า PC Antispyware 2010 ล่าสุด Personal Antivirus เป็นไวรัสัพันธุ์ใหม่ที่หลอกผู้ใช้ว่า มันเป็นซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส ซึ่งมีหน้าตาอินเตอร์เฟซละม้ายคล้ายคลึงผลิตภัณฑ์ของไซแมนเทค (Symantec) ผสมๆ กับตัวอื่นๆ ทำให้ดูน่าเชื่อถือ ในขณะที่ความจริงมันเป็น "ไวรัส"


สำหรับ การหลอกให้เหยื่อตายใจก็ยังคงเป็นวิธีเดิมๆ นั่นก็คือ ป๊อปอัพหน้าอินเตอร์เฟซขึ้นมาแจ้งว่า คอมพิวเตอร์ของคุณติดไวรัส พร้อมทั้งย้ำให้คุณรีบแก้ไขโดยด่วน ด้วยการติดตั้งตัวมัน(มัลแวร์)เข้าไป "โดยทัี่วไป ผู้ใช้จะได้รับหน้าต่างป๊อปอัพขนาดใหญ่ พร้อมกับร้องขอให้คุณจ่ายค่าบริการเพื่อกำจัดไวรัสภายในเครื่อง โดยป้ายเตือนที่ปรากฎขึ้นมาจะมีขนาดใหญ่มากๆ โปรดระวัง ถ้าคุณคิดจะจ่ายค่าบริการกำจัดไวรัสจากบริการ(ที่โผล่พรวดพราด)ลักษณะนี้" Manney "Papageek" Lloyd ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ กล่าว


Lloyd แนะนำว่า ไม่ควรเปิดไฟล์แนบอีเมล์จากผู้ส่งที่คุณไม่รู้จัก และควรรันซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสอย่าง AVG หรือ Malware Bytes ข้อสังเกตก็คือ สำหรับซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสตัวจริงจะใช้หน้าต่างแจ้งให้ทราบว่าใกล้หมดอายุ สมาชิกแล้วเท่านั้น แต่จะไม่แสดงพร้อมพ์ขึ้นมาให้คุณ sign up ทันที


ข่าวจาก www.arip.co.th วันที่ 16 กันยายน 2552

10 กันยายน 2552

Intel Core i5 โพรเซสเซอร์ปฏิวัติพีซี

ในทีสุด อินเทล (Intel) ก็ได้ฤกษ์เปิดตัว Core i5 โพรเซสเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุดที่ปฏิวัติโลกพีซีให้ก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง โดยเฉพาะการทำงานด้วย 4 แกนหลักที่มากกว่าโพรเซสเซอร์ปัจจุบันถึง 2 เท่า ประกอบกับการใช้เทคโนโลยีการผลิตโพรเซสเซอร์ระดับเซิร์ฟเวอร์กับชิปตัวนี้ ยิ่งทำให้ผู้ใช้พีซีทั้งเดสก์ทอป และแลปทอปได้มีโอกาสใช้พลังประมวลผลอันทรงประสิทธิภาพ (แรง เร็ว มัลติทาสก์ ไม่ร้อน และประหยัดพลังงาน) สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการใช้งานได้อย่างดีเยี่ยม ถึงเวลาแล้วที่คุณผู้อ่านควรจะได้ทำความรู้จักกับ Core i5 มากกว่าแค่ชื่อของมันเท่านั้น

ไม่น่าเชื่อว่า เมื่อ 40 ปีที่แล้ว เทคโนโลยีในสมัยนั้นจะสามารถบีบอัดทรานซิสเตอร์กว่า 3 ล้านตัวให้เข้าไปอยู่ในชิปขนาดเล็ก เพื่อให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทำงานได้อย่างน่าอัศจรรย์ (จากตู้เมนเฟรมขึ้นมาอยู่บนโต๊ะทำงาน) โดย "ทรานซิสเตอร์" ที่อยู่ภายในจะทำหน้าที่เหมือนสวิทช์ขนาดจิ๋วสามารถเปิดปิด เพื่อสร้างสัญญาณไฟฟ้า 1 และ 0 แทนข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผล และยิ่งนานวันพวกมันจะถูกบีบอัดให้มีขนาดเล็กลงไปเรื่อยๆ เพราะยิ่งเล็กลงได้มากเท่าไร นั่นหมายถึง ชิปประมวลผลก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพในการประมวลผลมากขึ้นเท่านั้น และนั่นคือ ก้าวแรกของโพรเซสเซอร์ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหลายล้านเครื่องทั่วโลก

แต่ สำหรับ Core i5 โพรเซสเซอร์รุ่นล่าสุดที่อินเทลได้เปิดตัววันนี้ ภายในของมันมีทรานซิสเตอร์อยู่มากถึง 731 ล้านตัว (ประมาณ 244 เท่า เทียบกับสี่สิบปีที่แล้ว) ที่วางเรียงชิดติดกันอยู่ภายในชิปที่มีขนาดแค่ครึ่งหนึ่งของสแตมป์ และด้วยเทคโนโลยีที่ใช้ในการออกแบบและพัฒนาชิปตัวนี้ อาจถือได้ว่า Core i5 เป็นตัวแทนของเดส์กทอปพีซียุคใหม่ก็ว่าได้ แม้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อินเทลได้พัฒนาโพรเซสเซอร์ให้สามารถทำงานได้เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และประหยัดพลังงานมากขึ้น แต่ Core i5 จะมีพัฒนาการที่ถือว่า เป็นการก้าวกระโดดของเทคโนโลยีการออกแบบโพรเซสเซอร์ เนื่องจากมันมีการเปลี่ยนแปลงในการออกแบบถึง 9 ส่วนสำคัญๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่ใช้ใน Core i5 ซึ่งปกติจะพบได้ในเซิร์ฟเว่อร์ระดับไฮเอ็นด์เท่านั้น แต่วันนี้มันได้มาอยู่บนโต๊ะ (desktop) หรือบนตัก (laptop) ของผู้ใช้แล้ว

ใน ส่วนของสถาปัตยกรรมทีใช้ในการพัฒนาโพรเซสเซอร์รุ่นใหม่นี้ วิศวกรของอินเทลใช้โค้ดเนมว่า "Lynnfield" (อยู่ในตระกูลเดียวกันกับ Nehalem) ซึ่งได้รับการพัฒนาครั้งแรกเพื่อใช้กับโพรเซสเซอร์ Core i7 โพรเซสเซอร์รุ่นพี่ที่มีพลังประมวลผลระดับไฮเอ็นด์ (พอๆ กับราคา) สำหรับเซิร์ฟเวอร์ และเดสก์ทอปเวิร์กสเตชั่นอันทรงพลัง โดย Core i5 ได้ใช้โครงสร้างของสถาปัตยกรรมภายในที่สำคัญๆ จากโพรเซสเซอร์ Core i7 การใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ 45nm (จากเดิม 65nm) ทำให้สามารถเพิ่มทรานซิสเตอร์เข้าไปในชิปได้อย่างมหาศาล และผลจากการลดขนาดของทรานซิสเตอร์ลงได้อีก ทำให้การเชื่อมต่อการทำงานระหว่างทรานซิสเตอร์สั้นลง และเร็วขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้สามารถประมวลผลข้อมูลต่อวินาทีได้มากขึ้น นอกจากนี้ การเชื่อมต่อที่สั้นลง เร็วขึ้น ของการทำงานระหว่างทรานซิสเตอร์ ยังช่วยประหยัดพลังงานลงได้มากอีกด้วย

สำหรับระบบการทำงานของ Core i5 จะมาพร้อมกับโพรเซสเซอร์ 4 แกน (เปรียบเทียบกับรถยนต์ทีมี 4 เครื่องยนต์ก็ได้) ต่อชิป ซึ่งมากกว่าถึงสองเท่าของชิปเดสก์ทอปในปัจจุบัน (dual-core) อย่างไรก็ตาม Core i5 จะไม่มีไฮเปอร์เธรดดิ้งแบบ Core i7 โดยโครงสร้างของ Core i5 จะเป็น Quad-Core 4-thread

คอมพิวเตอร์ ที่ใช้โพรเซสเซอร์ Core i5 จะสามารถทำงานอย่างเช่น การแก้ไขวิดีโอไฮเดฟฯ บริการวิดีโอแชตผ่านสไกป์ที่สามารถเห็นภาพเคลื่อนไหวที่นุ่มนวล (ไม่กระตุก) แม้ว่ากำลังเพิ่มเพลงเข้าไปในไลบรารี่ของไอจูนส์อยู่ในขณะนั้นก็ตาม นอกจากนี้ ซอฟต์แวร์ และระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ๆ ก็ยังได้รับการปรับแต่งการทำงานให้ใช้ข้อได้เปรียบของความสามารถของมัลติ คอร์ และมัลติเธรดดิ้งอีกด้วย แอ๊ปเปิ้ลเพิ่งออก Snow Leopard Mac OS X 10.6 ส่วนไมโครซอฟท์ก็เตรียมเข็น Windows 7 ออกมา ซึ่งทั่งคู่สามารถทำงานร่วมกับ Core i5 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

นอก จากนี้ภายใน Core i5 ยังมีโหมดเทอร์โบที่สามารถเร่งการทำงานได้เร็วขึ้นอย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย โดยสามารถเรียกใช้กับการประมวลผลงานหนักๆ ได้ แถมยังสามารถตัดสินใจเลือกใช้จำนวนคอร์ทีเหมาะสมกับงานได้อีกต่างหาก ซึ่งทำให้มันไม่ต้องใช้เอ็นจิ้นทั้งสี่แกนตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อใช้งานทั่วไปอาจจะเหลือแค่ Core เดียวก็ได้ (นับเป็นโพรเซสเซอร์ที่สามารถบริหาร Core ได้ราวกับเปลี่ยนเกียร์คันเร่งของรถยนต์) ผลจากความฉลาดในการประมวลผลดัง กล่าว ทำให้มันสามารถเร่งเครื่องจากความถี่ในการทำงานที่ 2.8GHz เป็น 3.2GHz ได้ เมื่อระบบต้องการในขณะที่ระบบยังคงทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพ

จาก พี่ใหญ่ Core i7 มาสู่น้องคนรองอย่าง Core i5 ในต้นปีหน้า ผู้ใช้ยังจะได้พบกับน้องคนเล็กอย่าง Core i3 ที่จะตามออกมา ซึ่งผู้บริหารอินเทลกล่าวว่า มันเหมาะกับผู้ใช้ในกลุ่ม entry level แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังทรงพลังด้วยสถาปัตยกรรมใหม่นั่นเอง การใช้ชื่อเรียกโพรเซอร์ด้วย Core ในลักษณะนี้ (ทั้ง Core i7, Core i5 และ Core i3) ก็เพื่อแก้ปัญหาความสับสนในโลโก และผลิตภัณฑ์ Core 2 ที่ออกมามากมายก่อนหน้านี้ สำหรับโพรเซสเซอร์ Atom ที่ใช้กับเน็ตบุ๊กก็จะยังคงได้รับการพัฒนาต่อไป ตามด้วย Celeron และ Pentium ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่รองรับตลาดผู้ใช้ในวงกว้าง


ข้อมูลจาก Sydney Morning Herald


ข่าวจาก www.arip.co.th วันที่ 8 กันยายน 2552

03 กันยายน 2552

สิ่งประดิษฐ์มีชีวิตจากฮาร์ดิสก์เก่า

เผยนวัตกรรมใหม่แผ่นฮาร์ดิสก์เก่าสร้างของเล่นมีชีวิตได้กว่า 20 ชนิด เน้นเป็นสื่อเรียนรู้เพิ่มความเข้าใจวิชาวิทย์ฯเทคโนระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน พร้อมสนับสนุนเยาวชนฝึกคิดประดิษฐ์ของเล่นใช้เอง





ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ทีมคณะวิจัยนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์เพื่อการเรียนรู้ สังกัดกระทรวงกลาโหม เล็งเห็นความสำคัญของการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์ จึงได้ประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยส่งเสริมให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา มีความรู้ควบคู่จินตนาการ และสร้างเสริมการเรียนรู้ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนให้เข้าใจกันยิ่งขึ้น โดยเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งเป็นวิชาที่เข้าใจยากให้ง่ายขึ้น ผ่านแผ่นฮาร์ดดิสก์ที่ไม่ใช้แล้วหรือเสีย นำมาประดิษฐ์เป็นของเล่นสำหรับเด็ก ถ้าพิจารณาชิ้นส่วนหลักในฮาร์ดิสก์ แต่ละตัวจะประกอบด้วย 4-5 ส่วนใหญ่ๆ ส่วนแรกคือ แผนวงจรอิเล็กทรอนิกส์ แผ่นฮาร์ดดิสก์ มอเตอร์สำหรับหมุนแผ่นฮาร์ดดิส หัวอ่านหรือแขนอ่าน และ แม่เหล็กถาวรความร้อนสูง

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า จากส่วนประกอบทั้งหมดนำสองส่วนสุดท้ายคือหัวอ่านหรือแขนอ่านและแม่เหล็กถาวร ความร้อนสูงนำมาเช่ือมต่อแบบอนุกรมกันเพื่อให้ขดลวดที่อยู่ในหัวอ่านทำปฎิ กิริยาให้เกิดสนามแม่เหล็ก ส่งแรงไปดึงพลังงานหรือผลักดันร่วมกับสนามแม่เหล็กของแม่เหล็กถาวรทำให้ชิ้น ส่วนดังกล่าว เคลื่อนที่ไปมาได้ตามความแรงของกระแสไฟฟ้าที่ป้อนเข้าไปยังขดลวด จึงสามารถนำไปเป็นกลไกที่บังคับด้วยไฟฟ้ากับงานต่าง ๆ ได้หลายชนิดช่วยให้ของเล่นธรรมดากลายเป็นของเล่นที่มีชีวิต สามารถขยับไปมาได้

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกด้วยว่า นวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ของเล่นดังกล่าวช่วยส่งเสริมให้การเรียนระหว่างผู้ เรียนกับผู้สอนเข้าใจง่ายขึ้น โดยเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ และคณิตศาสตร์ ที่ช่วยส่งเสริมให้เยาวชนเกิดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาก ขึ้น ฝึกคิดฝึกปฎิบัติ ทดลองประดิษฐ์คิดค้นของเล่นต่างๆ จากฮาร์ดดิสก์ที่เสียหรือชำรุดมาสร้างประโยชน์ใหม่ที่มีคุณค่า มากกว่าการนำทิ้งขว้างหรือไปขายเป็นเศษเหล็กที่มีค่าเพียง 50 - 80 บาท จากท่ีราคาตัวละ 2- 3 พันบาท ซึ่งถ้านำไปใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ไม่เผาหรือหลอมละลาย จะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ แม้ว่าจะเล็กน้อยแต่ถ้าใช้งานกันเป็นวงกว้างจะก่อให้เกิดประโยชน์เพิ่มขึ้น กับมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ อุปกรณ์สำคัญในฮาร์ดดิสก์ที่ถอดแล้ว ประกอบด้วยขดลวดที่ติดอยู่กับแขนอ่านและแม่เหล็กถาวรคุณภาพสูง สามารถนำไปประดิษฐ์เป็นของเล่น เครื่องมือ เครื่องใช้ได้มากกว่า 20 ชนิด สร้างให้นักประดิษฐ์รุ่นเยาวชนได้เกิดจินตนาการ ความร่วมมือของหมู่คณะ หรือ เกิดเป็นเครื่องมืออุปกรณ์สำหรับใช้ทดลองในห้องเรียนสำหรับรุ่นต่อ ๆ ไป


ข่าวจาก ไทยรัฐออนไลน์ โดย ทีมข่าวไอทีออนไลน์ วันที่ 2 กันยายน 2552



23 สิงหาคม 2552

ตะลึง!!!"วิดีโอ"จอจิ๋วในหน้านิตยสาร

ปีที่แล้ว Esquire ทำให้ทั่วโลกต้องหันกลับมามองนิตยสารเล่มนี้กันอีกครั้ง เมื่อฉบับพิเศษในเดือนดังกล่าวได้แทรกโฆษณาอิเล็กทรอนิกส์เข้าไปในเล่ม โดยใช้เทคโนโลยี E-Ink ล่าสุดบริษัทผู้ผลิตน้ำดำอย่าง Pepsi ร่วมกับเครือข่ายสถานีโทรทัศน์ CBS และ Time Warner กำลังจะใส่"วิดีโอ"ลงไปในนิตยสาร Entertainment Weekly ฉบับเดือนกันยายนนี้

การร่วมมือของสามยักษ์ใหญ่ในการแทรกโฆษณาที่เป็นวิดีโอเข้าไปในนิตยสาร ด้วยเทคโนโลยี Video In Print (VIP) จะทำให้ผู้อ่านได้สัมผัสกับประสบการ์ณใหม่ในการรับชมโฆษณา โดยหน้าจอวิดีโอที่อยู่ในหน้านิตยสารจะสามารถโต้ตอบการทำงานกับผู้อ่านได้ สำหรับโฆษณาชิ้นดังกล่าวจะปรากฎในนิตยสาร Entertainment Weekly ฉบับวันที่ 18 กันยายน ศกนี้

สำหรับ จอวิดิโอที่อยู่ในนิตยสารจะไปพร้อมกับแบตเตอรี่แบบชาร์จใหม่ได้ โดยเนื้อหาวิดีโอความยาวทั้งหมด 40 นาทีจะอยู่ภายในไมโครชิป เมื่อผู้อ่านเปิดหน้าโฆษณาดังกล่าวขึ้นมา วิดีโอจะถูกโหลดให้เล่นโดยอัตโนมัติ (กลไกการเปิดจะทำคล้ายการ์ดดนตรีที่ใช้กระดาษทำเป็นลิ้นเลื่่อนให้หน้า สัมผัสของสวิทช์ครบวงจร) ผู้อ่านจะสามารถเลือกชมคลิปวิดีโอ 5 เรื่องผ่านทางปุ่มที่อยู่บริเวณด้านขวาของหน้าโฆษณา

ใน ส่วนของวิดิโอจะเป็นการโปรโมตรายการของ CBS ที่คั่นด้วยโฆษณาเป๊ปซี่ อย่างไรก็ตาม ไม่มีการเปิดเผยถึงต้นทุนในการผลิตโฆษณาลักษณะนี้เข้าไปในนิตยสาร แต่คาดว่า ราคาของ Entertainment Weekly ฉบับดังกล่าวจะแพงกว่าปกติ เนื่องจากต้นทุนของวิดีโอที่แทรกอยู่ในเล่มนั่น เอง

Update: ชมคลิปตัวอย่าง Video In Print Technology คลิกที่นี่

อ้างอิงข้อมูลจาก: Varity


ข่าวจาก www.arip.co.th วันที่ 21 สิงหาคม 2552

13 สิงหาคม 2552

ด่วน!!! ศาลสั่ง MS หยุดขาย Word

รายงานข่าวล่าสุดจากเว็บไซต์บีบีซีนิวส์ระบุว่า ศาลชั้นต้นในสหรัฐฯ ได้สั่งให้บริษัทไมโครซอฟท์จ่ายค่าเสียหายเป็นเงินมากกว่า 290 ล้านเหรียญฯ (ประมาณหนึงหมื่นล้านบาท) ในข้อหาตั้งใจละเมิดสิทธิบัตรของ I4i บริษัทซอฟต์แวร์ในแคนาดา โดยเฉพาะกลไกการทำงานกับไฟล์เอกสารของ Word

สำหรับสิทธิบัตรที่ถูกละเมิดจะว่า ด้วยเรื่องของการประยุกต์ใช้ XML ภาษาโปรแกรมที่ใช้ในการจัดรูปแบบของข้อความ และทำให้ไฟล์ข้อมูลที่ใช้ฟอร์แมตนี้สามารถถูกอ่านขึ้นมาด้วยโปรแกรมต่างๆ ได้ ซึ่งการใช้ XML ในลักษณะดังกล่าวจะพบได้ในซอฟต์แวร์ Microsoft Word โดย Leonard Davis ศาลชั้นต้นในเท็กซัสยังได้ออกคำสั่งห้าม ไม่ให้ไมโครซอฟท์จำหน่ายซอฟต์แวร์ Word อีกด้วย (ซึ่งรวมถึงที่ไปกับชุดโปรแกรม Office)

ใน ส่วนของ I4i ได้จดสิทธิบัตรว่าด้วยการจัดการโครงสร้าง และเนื้อหาของเอกสารแยกจากกัน โดยมี XML เป็นเครื่องมือให้ผูั้ใช้ใช้ในการจัดรูปแบบของเอกสารข้อความ นอกจากนี้ XML ยังถูกใช้ในโปรแกรมเวิร์ดตัวอืนๆ ด้วยอย่างเช่น OpenOffice ด้วย

นอก จากจะโดนค่าปรับถึง 290 ล้านเหรียญฯแล้ว ศาลยังมีคำสั่งห้ามขาย และ/หรือ นำเข้าในสหรัฐฯ สำหรับซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นใดๆ ที่สามารถเปิดไฟล์ XML ที่ได้รับการปรับแต่งอีกด้วย (ไฟล์ที่มีนามสกุล .xml, .docx หรือ .docm) ทั้งนี้ไมโครซอฟท์มีเวลา 60 วันในการปฎิบัติตามคำสั่งศาล อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทจะยื่นอุทธรณ์อย่างแน่นอน "เรารู้สึกผิดหวังกับคำพิพากษาของศาล" Kevin Kutz โฆษกประจำบริษัทไมโครซอฟท์กล่าว "แต่เราก็เชื่อว่า เรามีหลักฐานที่ชัดเจนในการแสดงให้ศาลเห็นว่า เราไม่ได้ละเมิด และสิทธิบัตรของ I4i ใช้ไม่ได้ เราจะอุทธรณ์คำพิพากษาของศาล"


ข่าวจาก www.arip.co.th วันที่ 13 สิงหาคม 2552

11 สิงหาคม 2552

แน่ใจหรือว่า Google ให้คำตอบดีทีสุด?


[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] หากถามว่าระหว่าง Google, Yahoo และ Bing เสิร์ชตัวไหนเจ๋งสุดในสายตาคุณผู้อ่าน? เชื่อว่า แทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ตอบ Google อย่างไม่ต้องสงสัย แต่แน่ใจนะว่า นั่นไม่ได้เป็นอคติที่เกิดขึ้นจากอิทธิพลของแบรนด์ แน่จริง...ลองไม่บอกว่า ผลลัพธ์ที่เห็นอยู่มาจากเว็บไซต์ไหน? แล้วลองให้คะแนนความพอใจอย่างที่ Blind Search ทำ คุณคิดว่าที่หนึ่งยังคงเป็น Google อีก หรือไม่?

Blind Search เครื่องมือค้นหาที่ใช้ทดสอบความพึงพอใจในผลลัพธ์ของเสิร์ชเอ็นจิ้นยอดนิยม อย่าง Google, Yahoo และ Bing โดยผู้ใช้จะได้เห็นผลลัพธ์จากทั้งสามแห่งพร้อมกัน โดยแบ่งหน้าเว็บผลลัพธ์เป็นสามคอลัมน์ แต่จะไม่บอกว่า ผลลัพธ์แต่ละอันนั้นมาจากเสิร์ชเอ็นจิ้นตัวใด และหากผู้ใช้ชอบผลลัพธ์อันไหนก็คลิกปุ่ม "Vote for this search engine" ที่อยู่เหนือคอลัมน์นั้นๆ ระบบจะเก็บรวบรวมคะแนนความพอใจแยกกันไป ฮั่นแน่...คงอยากทราบแล้วใช่ไหมครับว่า ใครเป็นที่หนึ่ง?

ผู้ เชี่ยวชาญเสิร์ชเอ็นจิ้นบางรายกล่าวว่า ผู้ใช้ส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะคิด(ไปเอง)ว่า ผลลัพธ์ของ Google ดีกว่าผลลัพธ์จากเครื่องมือเสิร์ชตัวอื่นๆ เหตุผลก็คือ "มันมาจาก Google" ดังนั้น หากนำโลโก้ของ Google ไปใส่แทนในหน้าผลลัพธ์การค้นหาของ Yahoo ผู้ใช้ก็จะบอกว่า มันให้ผลลัพธ์การค้นหาที่ดีทันที (อิทธิพลของแบรนด์โดยแท้) และที่น่าตลกยิ่งกว่าก็คือ เมื่อเอาโลโก้ของ Yahoo หรือ Bing มาใส่เหนือผลลัพธ์การค้นหาที่ได้จาก Google ผู้ใช้ก็จะไม่มั่นใจ และยังคงคิดว่า ไปให้ Google ค้นหา น่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่านี้...เฮ่อ...

กลับ มาดูที่คะแนนความพึงพอใจของผู้ใช้เครื่องมือ Blind Search ที่โหวตให้คะแนนผลลัพธ์ การค้นหา ซึ่งไม่อาจทราบได้ว่า มาจากเสิร์ชตัวไหน? ผลปรากฎกว่า Google ยังคงเป็นอันดับหนึ่ง แต่ไม่ได้ทิ้งห่างจากอีกสองเจ้าอย่างที่เคยได้ยินจากข่าวสารต่างๆ โดยมีผู้ใช้โหวตให้ Google 44%, Bing 33% และ Yahoo 23% เห็นอย่างนี้ ไมโครซอฟท์คงมีกำลังใจน่าดู แต่มันก็ทำให้เราเห็นว่า อิทธิพลของ Brand นั้นมีจริง


ข่าวจาก www.arip.co.th วันที่ 10 สิงหาคม 2552

04 สิงหาคม 2552

ชาร์จแบตเตอรี่ไร้สาย เทคโนโลยี่ใหม่ที่จะเปลี่ยนอนาคต

ลองคิดดูว่าถ้าถนนในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ ไม่มีสายไฟฟ้าระเกะระกะ กรุงเทพฯ จะสวยขนาดไหน วันนี้จึงนำเทคโนโลยีไร้สายใหม่ ๆ มาเล่าให้ฟังครับ

เริ่มกันที่ Nokia ก่อน Nokia ได้ประกาศออกมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่ากำลังพัฒนาเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย โดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (คลื่นวิทยุ-โทรทัศน์) ที่มีอยู่รอบตัวเรานี่แหละครับเป็นแหล่งพลังงาน หลักการจะเหมือนกับเครื่องรับวิทยุแบบแร่ (crystal radio) ที่แปลงคลื่นวิทยุเป็นกระแสไฟฟ้า โดยตั้งเป้าให้โทรศัพท์มือถือรับพลังงานได้ 50 มิลลิวัตต์ ซึ่งปัจจุบันทำได้เพียง 3 - 5 มิลลิวัตต์

ส่วนอีกด้านหนึ่ง เราย้อนกลับไปดูที่ Intel ในงาน Research@Intel ครั้งที่ 8 ได้มีการแสดงความก้าวหน้าในโครงการชาร์จแบตเตอรี่ไร้สาย ( ยังต้องพึ่งแท่นชาร์จอยู่ ) โดยสามารถให้พลังงานได้ถึง 1-2 วัตต์ในระยะห่างจากแหล่งให้พลังงาน 1 เมตร ส่วนใน Lab ทดลองนั้น สามารถชาร์จ Netbook ด้วยพลังงาน 14 -20 วัตต์ ในระยะห่าง 1 - 2 เมตรได้เรียบร้อยแล้ว

นอกจากเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายแล้ว ทาง Intel ยังได้พัฒนาเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน ใน Notebook ที่ใช้เทคโนโลยี ULV ( Ultra-low voltage ) ซึ่ง CPU จะกินไฟต่ำเพียง 10 วัตต์ ( ใน CPU Atom รุ่นใหม่จะกินไฟเพียง 2 วัตต์ ) จึงทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่นานขึ้น

และหากนำเอาเทคโนโลยีการชาร์จพลังงานแบบไร้สาย มารวมกับเทคโนโลยีการประหยัดพลังงาน ลองจินตนาการกันดูครับ อนาคตของเราจะเป็นอย่างไร เมื่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ไม่ต้องมีสายเชื่อมต่อถึงกันอีก

29 กรกฎาคม 2552

Notebook จอ LED

ตลาด Notebook เริ่มมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามา นั้นก็คือ เทคโนโลยีจอ LED

อันที่จริงแล้ว จอ LED ก็คือจอ LCD นั่นเองครับแต่ที่เรียกให้ต่างออกไปก็เพื่อบอกให้ผู้ซื้อรู้นั้นเองครับว่ามันเป็นเทคโนโลยีใหม่มีดีกว่าเก่า

จอ LCD หรือ Liquid Crystal Display ใช้เทคโนโลยีให้ความสว่างด้านหลัง ( Backlight ) เป็น CCFL ( Cold Cathode Flurescent Lamp ) ซึ่งเป็นแสงสว่างสีขาวอยู่ด้านหลัง แต่ จอ LED หรือ Light Emitting Diode จะให้แสงสว่างด้วยแอลอีดีขนาดเล็กแทน ซึ่งทำให้ความคมชัด หรือ Contrast เพิ่มมากขึ้น

ข้อดีของจอ LED นอกจากเรื่องความคมชัดหรือได้ภาพที่สวยสด งดงาม มีความสมจริงมากขึ้นแล้ว ยังทำให้สามารถออกแบบจอให้บางลงกว่าเดิม มีความเป็นมิตรกับธรรมชาติ เนื่องจากไม่ได้ใช้สารปรอท เพราะไม่ได้ใช้ CCFL เป็นตัวให้ความสว่าง นอกจากนี้ จอ LED ยังกินไฟน้อยลงทำให้เราใช้แบตเตอรี่ Notebook ได้นานขึ้น และที่สำคัญ จอ LED มีอายุการใช้งานที่นานกว่า จอ LCD ประมาณ 2 เท่า

จอ LED ในตลาดตอนนี้ยังมีราคาค่อนข้างแพง แต่ถ้าจะซื้อก็ถือได้ว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา โดยเฉพาะเรื่องอายุการใช้งานที่เพิ่มขึ้นกว่าการใช้จอ LCD ครับ

19 กรกฎาคม 2552

สัมผัส Windows 7 บนหน้าจอ...น่าใช้?

ไม่ค่อยบ่อยนักที่จะมีการนำเสนอคุณสมบัติการทำงานที่เรียกว่า มัลติทัชบน Windows 7 เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า มันเป็นลูกเล่นมากกว่าที่จะถูกนำมาใช้งานจริงในทางปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเว็บไซต์ซีเน็ตได้นำเสนอคุณสมบัติมัลติทัชสกรีนบน Windows 7 โดยให้เหตุผลว่า มันเป็นจุดขายอันหนึ่งที่น่าสนใจมากของระบบปฏิบัติการตัวใหม่นี้ ผู้ใช้สามารถใช้นิ้วสัมผัส เพื่อเปิดปิดเมนูใช้งานต่างๆ ตลอดจนซูม หรือหมุนภาพ พร้อมทั้งย่อขยายหน้าเว็บที่กำลังอ่าน ตลอดจนเลื่อนหน้าเอกสารในโปรแกรมเวิร์ดด้วยการใช้นิ้วสัมผัสแล้วดันขึ้นลง ได้แบบเดียวกับที่คุณใช้บนไอโฟน (iPhone) ลองดูคลิปของทางซีเน็ตที่นำเสนอกันดีกว่า เผื่อว่า คุณผู้อ่านจะสนใจอยากใช้ Windows 7 มากขึ้น




ข่าวจาก www.arip.co.th วันที่ 18 กรกฎาคม 2552

13 กรกฎาคม 2552

ศึกหลายด้าน

หลังจากมีกระแสข่าวลือว่า "กูเกิล" จะคลอดระบบปฏิบัติการหรือโอเอส สำหรับคอมพิวเตอร์พีซีมาต่อเนื่อง ล่าสุดกูเกิลก็ได้ประกาศเปิดตัว Google Chrome OS เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาโดยมีเป้าหมายไล่ถล่มไมโครซอฟท์เป็นการเฉพาะในปี หน้า

กูเกิลระบุว่า "โครม โอเอส" จะพยายามคิดใหม่ว่า ระบบปฏิบัติการควรจะเป็นอย่างไร โดยโครมจะเป็นระบบปฏิบัติการเปิด เป็นระบบปฏิบัติการที่ช่วงแรกจะเจาะเป้าไปยังผู้ใช้ "เน็ตบุ๊ก" ซึ่งในปลายปีนี้จะเปิดโค้ด โอเพ่นซอร์ส และคาดว่าเน็ตบุ๊กทั้งหลายจะใช้ "โครม" ทำงานบนเครื่องของตนเองได้ในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า

จุดขาย ของกูเกิลอยู่ที่ความรวดเร็ว, ง่ายและมีความปลอดภัย โดยกูเกิลกำลังออกแบบโอเอสให้ทำงานรวดเร็วและเบา เพื่อเริ่มต้นเข้าสู่เว็บไซต์ได้เพียงไม่กี่วินาที ซึ่งทำงานบนพื้นฐานของลีนุกซ์ เคอร์เนล ทางกูเกิล โครมจะทำงานในระบบ ARMChip x86 และ ทำงานร่วมกับบริษัทรับจ้างผลิตแบบโออีเอ็มเพื่อผลิตเน็ตบุ๊กจำนวนหนึ่งวาง ตลาดตามเป้าหมาย

สำหรับตลาด Browser หรือเครื่องมือที่ช่วยให้ ท่องโลกอินเตอร์เน็ตนั้น ก็เริ่มนับจับตามองไม่น้อย ภายหลังอินเตอร์เน็ต เอ็กซพลอเร่อร์ หรือไออีของไมโครซอฟท์ ครองตลาดมานานนับสิบปี ภายหลังจากที่ "เน็ตสเคป" ค่อยๆหายไปจากตลาด "ไออี" ก็ได้พัฒนาหลากหลายรุ่นออกมาบริการผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่อง

ก็ได้ ถูกท้าทายจากคู่แข่งใหม่ๆ ทั้ง "โครม เบราเซอร์" ของกูเกิล, ไฟร์ฟ็อกซ์ ของโมซิลลิ่ล และซาฟารี ของค่ายแอปเปิล ทำให้ตลาดเบราเซอร์ น่าสนใจไม่น้อย เพราะเบราเซอร์หน้าตาใหม่ๆ ก็ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเช่นกัน ดังจะเห็นตัวเลขในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์มีส่วนแบ่งตลาดในรุ่นไออี 6, 7 และ 8 รวมกันถึง 65.8%

แต่ เพียง 3 เดือนให้หลังปรากฏว่า ส่วนแบ่งตลาดกลับลดลงเหลือ 54.4% นี่ถือว่าเป็นการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดครั้งใหญ่ เพราะคู่แข่งได้อัพเกรดในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น ไฟร์ฟ็อกซ์ 3.5, โครมและซาฟารี 4 และแนวโน้มจากนี้ต่อไป ไมโครซอฟท์ก็ยังเหนื่อยอยู่

อย่าง ไรก็ตาม สำหรับ ไออี 8 ของไมโครซอฟท์หลังจากเปิดตัวในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง มีตัวเลขการขยายตัว ในการใช้เพิ่ม 16.7% และอาจจะเป็นตัวสกัดกั้นความแรงของคู่แข่ง หรือรอวันให้ผู้บริโภคสลับกลับมาใช้ ถ้าไม่เช่นนั้นไมโครซอฟท์ต้องเร่งหานวัตกรรมในผลิตภัณฑ์ตัวต่อไปมาดึงดูด ความสนใจให้ได้

มาถึงวันนี้ การเป็นยักษ์ใหญ่ดูเหมือนจะเหนื่อยไม่น้อยเพราะใครๆ ก็ตั้งเป้าแข่งขันและตามราวีไม่เลิกราเช่นนี้.


ข่าวจากไทยรัฐออนไลน์ โดย หนุ่มดิจิตอล วันที่ 13 กรกฎาคม 2552